วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ดื่มเบียร์อย่างไรให้ได้รสชาติ และไม่ตกเทรนด์

คนส่วนใหญ่นั้นคิดว่าการดื่มเบียร์ ไม่จำเป็นต้องสังเกตุ หรือว่าชื่นชมอะไร แค่รู้ว่ามันคือเบียร์แล้วก็ดื่มๆ มันเข้าไปให้หมดก็พอ ซ้ำร้ายยังคิดการรินเบียร์แบบมีฟองเป็นวิธีการที่ผิดอีกต่างหาก ซึ่งจริงๆ แล้วนั้นเราควรจะรินเบียร์ให้มีฟองด้วย เพื่อให้กลิ่นหอมของเบียร์ฟุ้งกระจายขึ้นมา และช่วยแก้อาการท้องอืดจากการดื่มเบียร์ได้อีกด้วย ทีนี้เรามาดูวิธีการดื่มเบียร์ที่ถูกต้องกันเลยดีกว่า



ดื่มเบียร์อย่างไรให้ได้รสชาติ 

ควรดื่มเบียร์ที่อุณหภูมิระหว่าง 8 - 12 c เพราะเป็นอุณหภูมิที่ทำให้ได้ลิ้มรสชาติเบียร์อย่างเข้าถึง นักดื่มเบียร์ส่วนใหญ่นิยมดื่มเบียร์ที่เย็นจัดมาก ๆ โดยเฉพาะในประเทศแถบร้อน ความจริงแล้วการดื่มเบียร์ที่เย็นจัดมาก ๆ แม้จะให้ความสดชื่นแต่จะไม่ได้รสชาติที่แท้จริงของเบียร์

การรินเบียร์เป็นส่วนสำคัญมากอีกขึ้นตอนหนึ่ง ต้องใช้แก้วที่สะอาดและเย็นจนมีเกร็ดน้ำแข็งเกาะ ที่สำคัญก่อนดื่มเบียร์ควรเริ่มจากซอฟต์ดริ้งค์ก่อน การรินเบียร์ทุกครั้งจะเกิดฟองเพราะแรงดันสูง

การรินเบียร์แบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ รินครั้งแรกประมาณ 3 ใน 4 ของแก้วเพื่อเก็บพื้นที่ส่วนที่เหลือให้ฟองเบียร์ รอสักครู่จึงรินเบียร์เพิ่มเพื่อให้ฟองเบียร์ลอยขึ้นไปอยู่เหนือปากแก้ว เบียร์ที่มีคุณภาพดีจะมีฟองสวย รสขมเล็กน้อย เราจะเห็นฟองเบียร์เล็ก ๆ ละเอียดอ่อนอยู่สูงขึ้นมาประมาณ 4 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนดอกไม้แรกผลิ และจะไม่หมดฟองไปง่าย ๆ แม้จะตั้งทิ้งไว้ก็ตาม


วิธีดื่มเบียร์ ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ชนิดใดก็ตาม สิ่งที่บ่งบอกได้ถึงคุณภาพของเบียร์ดูจะเป็นสิ่งเดียวกันนั่นคือกลิ่น (Aroma)และรสชาติ (Flavour) การชิมเบียร์ไม่มีกรรมวิธีพิเศษยุ่งยากใด ๆ และนี่คือ 4 ขั้นตอนหลักสำหรับการดื่มด่ำกับกลิ่นและรสชาติเบียร์สด

1.มองด้วยตา (LOOK)
เบียร์ต่างสีเพราะมีความต่างของวัตถุดิบที่นำมาผลิต แต่ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ชนิดใด เมื่อรินใส่แก้วแล้วพิจารณาดูด้วยสายตาจะมองเห็นความใสของเบียร์ ทั้งพรายฟองต้องละเอียดนุ่มดุจเนื้อครีม เพียงความรูสึกแรกเมื่อมองด้วยสายตา เราก็สามารถได้ถึงรสชาติของอาหารหรือเครื่องดื่มนั้น ๆ ไว้ระดับหนึ่งเล้ว

2.พาหมุนวน(SWIRL)
หมุนวนแก้วเบียร์เพื่อให้ได้กลิ่นเบียร์ วนเพียงเบา ๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยให้เราได้กลิ่นหอมของ
ดอกฮ็อป วัตถุดิบสำคัญตัวหนึ่งที่บ่งบอกได้ถึงคุณภาพและรสชาติของเบียร์ในมือคุณได้เป็นอย่างดี

3.สูดดมกลิ่น (SNIFF)
เรามักจะได้กลิ่นหอมของเบียร์สดรสเลิศเสมอไม่ว่าจะตั้งใจสูดดมกลิ่นเบียร์ก่อนลิ้มรสชาติหรือไม่ก็ตาม เพราะนั่นคือลักษณะเฉพาะของเบียร์ที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้เจริญอาหารอย่างที่สุด

4.จิบชิมลิ้มรส(SIP)
ขั้นตอนท้ายสุดของการชิมเบียร์ กลิ่นและรสจะผสานไหลผ่านลิ้นและลำคอของเราขณะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ ปลายลิ้นจะได้ลิ้มรสชาติหอมหวานจากมอลต์ เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยความซาบซ่าจากรสชาติของวัตถุดิบหลักที่นำมาผลิตเบียร์ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ หรือธัญพืช และท้ายสุดคือรสขมกลมกล่อมของ
ดอกฮ็อบ

เติมศิลปะในการดื่มเบียร์กับเบียร์สดแก้วถัดไปของคุณ แล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงความหมายและสีสันของการดื่มกินอย่างมีความสุข

จะให้ได้ว่าศาสตร์การดื่มเบียร์ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ไม่แพ้กันกับการดื่มไวน์ (Wine) เพราะมีทั้งการมอง การวน การดม และการชิมเหมือนกัน อีกทั้งเบียร์แต่ละประเภทย่อมมีการใช้ส่วนผสมที่แตกต่างกัน หากเรามีความตั้งใจ พินิจพิจารณา ถึงสิ่งต่างๆ เราจะสัมผัสได้ถึงกลิ่น รสชาติที่แตกต่าง ความตั้งใจและความพิถีพิถันในการปรุงเบียร์ ของเบียร์แต่ละท้องถิ่น แต่ละยี่ห้อ แล้วคุณจะดื่มเบียร์ได้อย่างไม่อายใครอีกต่อไป :D

ขอขอบคุณ :
www.horapa.com

ใครบอกว่าดื่มเบียร์แล้วอ้วน???

เชื่อได้ว่าหลายๆ คน  เกรงกลัวการดื่มเบียร์ เพราะคิดว่าเบียร์ที่ดื่มเข้าไปนั้น จะมาทำให้หุ่น เฟิร์มๆ ที่กว่าจะได้มาต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อมากมาย ต้องมลายหายไปแปรสภาพกลับไปเป็นห่วงยางนุ่มๆ กันอีกครั้ง วันนี้ผมมีบทความมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เป็นบทความของนักวิจัยชาวอังกฤษและสาธารณรัฐเช็ก ช่วยกันค้นคว้าวิจัย ว่า การดื่มเบียร์ที่เราชื่นชอบนั้นหนอจะส่งผลต่อพุงใหญ่ๆ ของเราจริงหรือ




เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วนเหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ แล้ววันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

นักวิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำการสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยงเพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น

จากการสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และคณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า

"ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี"
ที่มา : samunpai


เชื่่อได้ว่าหลายๆ คนหลังจากได้อ่านบทความนี้แล้ว คงไม่เกรงกลัวการดื่มเบียร์อีกต่อไป เพราะจริงๆ แล้วเบียร์นั้นเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลดี นะครับ :D

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
http://www.xn--12cf7df4bdd2iqbyh5f.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539245009&Ntype=2

 
 
 
 
 

ดื่มเบียร์ต้านโรคหัวใจกันดีกว่า

ห่างหายไปนานกับการอัพบล็อค พอดีโดนหวัดเล่นงานซะหมดสภาพ ฮ่าๆ ช่วงนี้หน้าฝน ฝนตกทุกวันอย่าลืมดูกันนะครับ พูดถึงเรื่องสุขภาพ วันนี้ผมก็ไปเจอบทความดีๆ เกี่ยวกับการดื่มเบียร์และโรคหัวใจมาฝากกัน ลองอ่านกันดูนะครับ

ดื่มเบียร์ทุกวัน ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้นได้
   
วารสาร European Journal of Epidemiology ฉบับล่าสุดได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาใหม่ถึง 16 ชิ้นจากประเทศอิตาลี ซึ่งศึกษาจากอาสาสมัครกว่า 200,000 คน โดยนักวิจัยพบว่า กลุ่มผู้คนที่ดื่มเบียร์วันละ 1 ไพนท์ จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจน้อยลงกว่าคนทั่วไปถึงร้อยละ 31 ในขณะเดียวกัน หากบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เบียร์ ไวน์ หรือเหล้า ก็ตาม กลับทำให้อัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจมากขึ้น
นอกจากนี้ เบียร์ยังมีประโยชน์ที่ไม่สามารถหาได้ในไวน์ เนื่องจากเบียร์มีส่วนผสมของน้ำมากกว่า ทำให้ผู้ที่บริโภคเบียร์ค่อยๆ ซึมซับแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายและสามารถควบคุมปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มได้ดีกว่า
ถึงแม้ว่านี่อาจเป็นข่าวดีสำหรับนักดื่มแอลกอฮอล์ แต่นักวิจัยยังคงตักเตือนว่าการดื่มแอลกอฮอล์ยังมีอันตรายอยู่ถ้าหากบริโภค เข้าไปอย่างหนักและจริงจัง ซึ่งหนทางการบริโภคแอลกอฮอล์เช่น เบียร์ หรือ ไวน์ให้สร้างประโยชน์แก่ร่างกายนั้น ได้แก่การบริโภคในปริมาณพอเหมาะต่อวัน โดยอาจจับคู่กับอาหารสุขภาพ งดการดื่มในมื้อดึก เน้นการดื่มเพื่อสังสรรค์กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนในปริมาณพอดี 
ที่มา : AFP Relax News

ถึงตอนนี้หลายคนอาจจะงง อ้าวแล้ว 1 ไพนท์ มันเท่ากับเท่าไหร่หละ

1 ไพนท์ (Pint) หรือ 1 ไพ้ท์ นั้นจะเท่ากับ จะเท่ากับ 568 มิลลิลิตร ถ้าวัดตามหลักของอังกฤษ Imperial Pint
แต่ถ้าวัดตามหลักของอเมริกา United States liquid pint จะได้เท่ากับ 473 มิลลิลิตร

ตัวอย่างของแก้ว Pint

"conical" pint glass
"Nonic" pint glass
Tulip Pint
นอกจากเบียร์จะมีประโยชน์ในการต้านโรคหัวใจแล้ว เบียร์ยังมีคุณประโยชน์ต่างๆ อีกมากมาย แล้วผมจะนำมาให้ทุกคนได้อ่านในบทความต่อๆ ไปนะครับ

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก :

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

ร้าน EST.33

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้ไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน EST.33 ซึ่งเป็น Microbrewery ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ เลยถือโอกาสนี้เก็บภาพ เก็บข้อมูล และวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของร้านในคราวเดียวกันเลย




บรรยากาศของร้าน


ร้าน EST.33 ตั้งอยู่ที่ CDC (Crystal Design Center) อาคาร E เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา
11.00 - 24.00 น.




ร้าน EST.33 เป็นร้าน Microbrewery ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ เพราะมีสไตล์การจัดร้านที่ไม่เหมือนใคร โดยมีการจัดร้านที่ดูทันสมัย บวกกับความดิบ โดยภายในร้านมีการนำถังหมักเบียร์ กับหม้อต้มเบียร์ มาโชว์ให้เห็นถึงกระบวนการทำเบียร์กันแบบจะๆ ทำให้ร้านนี้ได้ใจสาวกคอเบียร์กันไปเต็มๆ อีกทั้งบรรยากาศนอกร้านก็จัดได้โรแมนติก ทั้งแสงไฟ ดนตรีสด น้ำพุ เหมาะแก่การมารับประทานอาหารค่ำกับคนรู้ใจยิ่งนัก

ถังหมักเบียร์
หม้อต้มเบียร์

ที่ร้านนี้มีอาหารและเครื่องดื่มให้เลือกอยู่หลากหลายพอสมควร แต่ด้วยความเป็น Microbrewery แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ของร้านนี้ก็คือ เบียร์ นั่นเอง โดยร้านนี้มีเบียร์ที่หมักขึ้นเองภายในร้านให้เลือกถึง 3 ชนิดด้วยกัน คือ Lager, Copper, และ Black อีกทั้งยังมี Beer Cocktail และ Softdrink ให้เลือกมากมาย สำหรับผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอร์ทางร้านเองก็ยังมี Mocktail ไว้ให้บริการเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าร้านนี้จะมีแต่เบียร์ที่อร่อย อาหารต่างๆของร้านก็อร่อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น German Sausage, ลาซานญ่า, แฮมเบอร์เกอร์เนื้อราดซอสแองโชว์วี่ ฯลฯ


German Sausage
จากการที่ได้พูดคุยกับ Brewmaster ของร้าน และ การสังเกต ก็พบว่า กลุ่มลูกค้าของร้านนั้นจะเป็นชาวไทยและชาวต่างชาติที่พักอาศัยและทำงานอยู่ในย่านรามอินทรา เป็นคนที่อยู่ในวัยทำงาน มีอายุตั้งแต่ 23-50 ปี มีฐานะค่อนข้างดี มีรายได้ดี โดยมากลูกค้าจะแน่นในวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าเทศกาล หรือ ช่วงที่มีถ่ายทอดสดฟุตบอล คนจะแน่นเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จะมากับเพื่อน หรือ คนรัก
เบียร์ที่ได้รับความนิยมที่สุดของร้าน คือ เบียร์ Lager เพราะทุกคนต่างคุ้นเคยกับรสชาติของมันจากเบียร์กระป๋องที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปอยู่แล้ว รองลงมาคือ Copper และ Black ตามลำดับ คนที่มาร้านนี้ส่วนใหญ่จะมาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และดื่มเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง จึงสรุปได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของร้าน EST.33 นั้นจัดอยู่ในประเภท Aspirer และ Succeeder นั่นเอง :D


Brewmaster ประจำร้าน EST.33



Wheels of consumer analysis

เมื่อสองสัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสเรียนเรื่อง Wheels of consumer analysis เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์
ผู้บริโภคที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นวงล้อ โดยจะสามารถอธิบายได้ ดังรูป


Wheels of consumer Analysis

  • Affect and Cognition คือ การรับรู้ และการจดจำของผู้บริโภค
  • Behavior คือ พฤติกรรมของผู้บริโภค
  • Environment คือ สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวผู้บริโภค
  • Marketing Strategy คือ แผนการตลาด

ทีนี้จะมายกตัวอย่างของ Wheels of consumer analysis อย่างง่ายๆกัน คือ


จากรูป เราจะทำการวิเคราะห์ ผู้บริโภคด้วย Wheels of consumer analysis ได้ดังนี้

  1. เริ่มต้นจาก Marketing Strategy : ทางโออิชิได้คิดแผนการตลาด เกี่ยวกับเครื่องดื่ม อะมิโนพลัส ขึ้นมา โดยให้ผู้ที่ซื้อ อมิโนพลัส จากร้าน 7-Eleven นำโค้ดในใบเสร็จส่งไปเพื่อลุ้นชิงโชค รับโทรศัพท์มือถือ Samsung galaxzy s3
  2. ต่อมาผู้บริโภคก็จะเกิดการรับรู้ Affect and Cognition : ว่าถ้าเกิดเราไปซื้อ อมิโนพลัส ที่ร้าน        7-Eleven ในวันนี้เราก็จะสามารถส่งโค้ดไปลุ้นชิงโชค โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxzy s3 ได้
  3. ทีนี้เราก็จะมาดูสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน Environment : สังคมในปัจจุบันนี้ บ้านเราให้ความสำคัญกับ Smartphone มาก ขึ้นชื่อว่าเป็นคนยุคใหม่ใครๆ ก็ต้องมี Smartphone ติดตัวเพื่อให้ตัวเองดูดี ทันสมัย
  4. ในที่สุดก็จะนำไปสู้ การเกิดพฤติกรรม Behavior : ผู้คนต่างพากันไปซื้อเครื่องดื่ม อะมิโนพลัส ที่  7-Eleven เพื่อที่จะนำโค้ดในใบเสร็จไปส่งชิงโชค โทรศัพท์มือถือ Samsung galaxzy s3 เพราะว่าใครๆก็อยากมี Smartphone ใช้ เพื่อให้ตนเองดูดี มีฐานะทางสังคมมากขึ้น


จากการวิเคราะห์จะเห็นได้ว่าทุกกระบวนการมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันหมด เราจะเริ่มอธิบายจากส่วนไหนก่อนก็ได้ แล้วค่อยๆ เรียงลำดับไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ Wheels of consumer analysis ที่สมบูรณ์ ดังตัวอย่าง :D



วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ในผลึกความคิด...สุพจน์ ธีระวัฒนชัย

วันนี้ไปเจอบทสัมภาษณ์ของ คุณ สุพจน์ ธีระวัฒนชัย มา ถึงจะเก่าไปหน่อยแต่ก็เห็นว่าน่าสนใจเลยเอาฝาก

เราลองมาดูกันดีกว่าว่า เจ้าของโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ผู้เป็นหนึ่งในตำนาน Microbrewery ของไทย

เค้ามีความคิดเป็นอย่างไร :D

ในผลึกความคิด...สุพจน์ ธีระวัฒนชัย